พระราชประวัติ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระ ปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
ทรงพระราชสมภพ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พุทธศักราช 2495 เวลา 17 นาฬิกา 45 นาที ตรงกับ วันจันทร์ ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 9 ปีมะโรง จัตวาศก อธิกวาร จุลศักราช 1314 นับเป็นปีที่ 7 แห่งการเสด็จขึ้นครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
มีพระเชษฐภคินี 1 พระองค์ คือ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี และพระขนิษฐภคินี 2 พระองค์ คือ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี
เมื่อทรงเจริญพระชนมายุได้ 1 เดือน กับ 18 วัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกอบพระราชพิธีสมโภชเดือนและขึ้นพระอู่ เมื่อวันที่ 14 และวันที่ 15 สิงหาคม พุทธศักราช 2495 ประกอบพระราชพิธี ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ทั้งพิธีพราหมณ์ พิธีสงฆ์ และถวายแห่กล่อม ในพระราชพิธีนี้ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ได้มีพระลิขิตไปถวายพระพรชัยมงคลในนามแห่งคณะสงฆ์ไทย เนื่องในอภิลักขิตสมัยมหามงคลสมโภชเดือนและขึ้นพระอู่ด้วย
ต่อมาเมื่อทรงเจริญพระชนมายุได้ 1 พรรษา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระราชทานพระนาม ซึ่งสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ทรงเป็นผู้ตั้งถวายตามดวงพระชะตาว่า
สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ
เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ
บรมจักรยาดิศรสันตติวงศ
เทเวศรธำรงสุบริบาล
อภิคุณูประการมหิตลาดุลเดช
ภูมิพลนเรศวรางกูร
กิตติสิริสมบูรณ์สวางควัฒน์
บรมขัตติยราชกุมาร
ทรงอธิบายเป็นพระมงคลนามตามพระราชตระกูล คือได้อัญเชิญพระนามฉายาในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงเป็นพระไปยิกาธิราช ซึ่งปรากฏในขณะทรงพระผนวชว่า วชิรญาณะ ผนวกกับ อลงกรณ์ จากพระนาม จุฬาลงกรณ์ ของรัชกาลที่ 5
ทรงเข้าศึกษาชั้นอนุบาลปีที่ 1 เมื่อเดือนกันยายน พุทธศักราช 2499 เมื่อพระชนมายุ 4 พรรษา ณ โรงเรียนจิตรลดาชั้นอนุบาล ตั้งอยู่ ณ พระที่นั่งอุดร ในพระราชวังดุสิต ต่อมาโรงเรียนย้ายไปตั้งในบริเวณพระราชฐานสวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต ทรงศึกษาจนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จึงเสด็จไปทรงศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ
ระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนกันยายน พุทธศักราช 2509 ทรงเข้ารับการศึกษาระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนคิงสมีด เมืองซีฟอร์ด แคว้นชัสเชกส์ ประเทศอังกฤษ และในเดือนกันยายนปีเดียวกันนั้น ได้เสด็จฯไปทรงศึกษาระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนมิลล์ฟิลด์ เมืองสตรีท แคว้นซัมเมอร์เซท ประเทศอังกฤษ จนถึงเดือนกรกฎาคม พุทธศักราช 2513
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ในหลวง รัชกาลที่ 10 ของเรา ทรงเสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2495 ทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์เดียวในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินินาถ ทรงเสด็จพระราชสมภพ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต มีพระราชนามเดิมว่า สมเด็จ พระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ บรมจักรยาดิศรสันตติวงศ เทเวศรธำรง สุบริบาล อภิคุณูประการมหิตลาดุลเดช ภูมิพลนเรศวรางกูร กิตติสิริสมบูรณ์สวางควัฒน์ บรมขัตติยราชกุมาร
และเมื่อมีพระชนม์มายุได้ 20 พรรษา ทรงได้รับการโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร และในเรื่องของการเรียน ทรงสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนจิตรลดาในชั้นต้น หลังจากนั้นได้เสด็จไปทรงศึกษาต่อที่โรงเรียนคิงส์มีด และโรงเรียนมิลฟิลด์ ณ ประเทศอังกฤษ หลังจากนั้นทรงศึกษาต่อที่โรงเรียนคิงส์สคูล กรุงซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย และได้ทรงศึกษาต่อในระดับชั้นอุดมศึกษาจากทั้งวิทยาลัยดันทรูน ประเทศออสเตรเลีย และมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ ด้านสาขาอักษรศาสตร์ การทหาร ก่อนที่จะเสด็จกลับประเทศไทย จากนั้นยังได้ทรงศึกษาต่อที่โรงเรียนเสนาธิการทหารบกรุ่น 46 และได้รับราชการทหารควบคู่กันไปด้วย
และจากนั้นในปี พ.ศ. 2521 ได้ทรงผนวช ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งมีสมเด็จพระอริยวงศาสตญาณ สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 18 เป็นผู้ผนวชให้ หลังจากนั้นได้ทรงศึกษาต่อที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช จนสำเร็จการศึกษาด้วยเกียรตินิยมอันดับ 2 ก่อนจะทรงเข้าศึกษาต่ออีกครั้ง ณ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรที่ประเทศอังกฤษ
จนเมื่อเสด็จนิวัติกลับยังประเทศไทย จึงได้เข้ารับราชการทหารประจำกรมข่าวทหารบก กระทรวงกลาโหมก่อนที่จะดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ สำนักผู้บัญชาการทหารสูงสุด แต่พระปรีชาของในหลัง รัชกาลที่ 10 ของเราก็ไม่ได้หมดลงเท่านี้นะคะ เพราะพระองค์ยังเคยผ่านหลักสูตรเกี่ยวกับการฝึกบินเครื่องบินรบเฮลิคอปเตอร์ รวมไปถึงเครื่องบินพาณิชย์ต่างๆ มาแล้วหลายหลักสูตร รวมถึงเคยปฏิบัติหน้าที่เป็นครูการบินสำหรับเครื่องบินขับไล่ของทหารด้วย จึงถือได้ว่าพระองค์ทรงมีพระปรีชาในด้านนี้อย่างแท้จริง
ต่อมา พระองค์ก็ได้ทำการอภิเษกสมรส รวมทั้งหมด 3 ครั้ง ซึ่งครั้งแรกทรงอภิเษกกับสมเด็จพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ หรือพระนามเดิม หม่อมหลวงโสมสวลี กิติยากร และมีพระราชธิดาด้วยกัน 1 พระองค์ คือ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ครั้งที่ 2 กับคุณ สุจาริณี วิวัชรวงศ์ และมีพระโอรสด้วยกันถึง 4 พระองค์ และพระราชธิดา 1 พระองค์ คือ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ และครั้งสุดท้าย กับ ท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ สุวะดี และมีพระราชโอรสด้วยกัน 1 พระองค์ คือ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ
และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พระองค์ก็ทรงบำเพ็ญประโยชน์ เพื่อพวกเรามามากมาย จนกระทั่งหลังการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 ที่สร้างความเสียใจให้คนไทยทั้งประเทศ จึงถือเป็นการสิ้นสุดลงของรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9
ดังนั้นตามการสืบพระราชสันตติวงศ์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวฃิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร จึงได้รับการสถาปนาเป็น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร หรือ ในหลวง รัชกาลที่ 10 ซึ่งจะทรงเป็นมิ่งขวัญของปวงชนขาวไทยอย่างพวกเราต่อไป ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน